ดิฉันได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่ชื่อ Popular: The Power of Likability in a Status-Obsessed Worldเขียนโดย Mitch Prinstein ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาชื่อดังในสหรัฐฯ หนังสือเล่มนี้เขาได้พูดถึงสิ่งที่เรียกว่า Popular หรือการเป็นที่นิยมชมชอบโดยทั่วไปแล้วเวลาเราพูดถึงความนิยมชมชอบนั้น คนทั่วไปมักคิดถึงการที่ใครสักคนนั้นดัง มีชื่อเสียง ได้รับความนิยมในคนหมู่มาก แต่หนังสือเล่มนี้ได้สรุปเอางานวิจัยของผู้คนที่ใช้ให้เห็นถึงบทบาทของความนิยมต่อพัฒนาการและความสำเร็จในชีวิต Prinstein เองได้แบ่งเอาความนิยมออกมาเป็น 2 รูปแบบด้วยกัน ความนิยมอันเนื่องมาจากสถานะ (Status) และการเป็นบุคคลที่น่าชื่นชอบ (Likability)
หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามง่ายๆว่า การที่เราจะประสบความสำเร็จนั้นจำเป็นต้องเป็นคนที่มีความนิยมชมชอบเป็นทุนเดิมหรือไม่ หรือการเป็นคนดังที่เป็นที่นิยมในคนหมู่มากนั้นจะสามารถประสบความสำเร็จได้หรือไม่หนังสือเล่มนี้เท้าความไปถึงที่มีของพฤติกรรมและทัศนคติอันเนื่องมาจากเรื่องของความนิยมชมชอบว่ามีที่มาจากประสบการณ์ของเราในช่วงกำลังโตคือ เริ่มเรียนมัธยม โดยในช่วงเราจะมีประสบการณ์กับความนิยม 2 รูปแบบคือ การเป็นคนดัง เป็นที่รู้จักของคนหมู่มาก โดยการเป็นคนดังที่เป็นที่นิยมนั้นมักจะตามมากับการมีสถานะทางสังคมบางอย่างเช่น การเป็นนักกีฬา เป็นนักร้องนักดนตรี หน้าตาดีเป็นต้น ขณะที่การเป็นบุคคลที่น่าชื่นชอบหรือ Likability นั้น เป็นเรื่องในเชิงพฤติกรรม เนื่องจากบุคลิกหรือลักษณะนิสัยบางอย่างที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกชื่นชอบเรา น่าคบหา มีสิ่งที่น่าสนใจหรือน่าชื่นชม
ในทางปฏิบัตินั้นการเป็นที่นิยมของคนรอบข้างนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการทำงานไม่น้อยไปกว่าความรู้ความสามารถหรือทัศนคติในการทำงาน ทั้งนี้เนื่องจากคนที่มีความนิยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจะเป็นที่รู้จักหรือชื่นชอบของคนกลุ่มใหญ่ การจะพูด การสื่อสาร ขอความร่วมมือในการทำงานย่อมเข้าถึงคนได้ง่ายกว่าและได้รับการยอมรับมากกว่าเมื่อเทียบกับคนที่ไม่เป็นที่รู้จักหรือยอมรับของสังคมวงกว้าง โอกาสที่จะผลักดันงานให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายย่อมมีสูงกว่า
อย่างไรก็ตามในระยะยาวเราจำเป็นที่จะต้องสร้างบุคลิกของการเป็นที่ชื่นชอบหรือ Likability ควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้เนื่องจากสถานะทางสังคมนั้นเป็นสิ่งที่ผันแปรได้ตลอด เป็นความนิยมที่ต้องพึ่งพาสังคมมากกว่าการสร้างคุณค่าที่ดีในตัวเอง โดย Likability นั้นเป็นสิ่งที่เป็นของเฉพาะตัวที่เกิดจากพฤติกรรมของเราซึ่งเป็นที่ชื่นชอบหรือน่าเข้าหาด้วยในสายตาของผู้คน ในหนังสือเล่มนี้ Prinsteinก็กล่าวไว้ว่าในยุคที่ Social Media เฟื่องฟูมาก ผู้คนสมัยนี้กลับติดอยู่กับวิธีคิดของเด็กที่กำลังโตซึ่งแสวงหาการยอมรับจากภายนอกด้วยการไขว่คว้าสถานะทางสังคมที่เป็นที่ยอมรับของคนในวงกว้าง ซึ่งนั่นจะส่งผลไปถึงวิธีคิดในการทำงาน การเข้าสังคม ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวไปจนถึงแม้แต่เรื่องสุขภาพด้วย
