SENA เปิดแผนงานปี’59 ใช้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ”

SENA เปิดแผนงานปี’59 ใช้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ”
ชี้เข้าสู่ปีทอง! รับรู้รายได้เต็มเหนี่ยวทั้งอสังหาฯ-พลังงานทดแทน
จ่อผุด 9 โครงการใหม่มูลค่า 5 พันลบ.-ตั้งเป้า 3 ปีติดตั้งไฟฟ้า 100 MW

 

บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทยเปิดแผนงานปี 2559 ใช้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ” เพื่อมัดใจลูกค้า ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ระบุปีนี้จะเป็นปีทองของ SENA โดยจะรับรู้รายได้เต็มเหนี่ยวจากทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และพลังงานทดแทน โดยปีนี้เตรียมเปิด 9 โครงการใหม่มูลค่ากว่า 5 พันล้านาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 5 โครงการ และแนวราบ 4 โครงการ ส่วนพลังงานทดแทนตั้งเป้าขายไฟฟ้าให้ได้ถึง 100 MW จากปัจจุบันมีในมือ 46.5 เมกกะวัตต์ ซึ่งรับรู้ส่วนแบ่งกำไรราว 40-50 ล้านบาท ตั้งเป้ารายรับปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20%

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของเมืองไทยเปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2559 จะใช้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ” เพื่อพิชิตใจลูกค้า โดยคำว่า “หัวคิด” มาจากการที่บริษัทฯ ใช้หัวคิดในการนึกถึงความต้องการของลูกค้าเป็นที่ตั้งหรือศูนย์กลาง และในส่วน “หัวใจ” คือการแสดงออกในการบริการลูกค้าด้วยใจของพนักงาน ตามปรัชญาองค์กรที่ว่า “ความไว้วางใจจากลูกค้า คือความภูมิใจของเรา”

“SENA ให้ความสำคัญกับการกำหนดกลยุทธ์ในแต่ละปี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิชิตใจลูกค้า สำหรับปีนี้คือ “หัวคิดและหัวใจ” โดยคำว่า “หัวคิด” มาจาก1 ใน 4 Core value ของบริษัทก็คือคำว่า Customer centric คือการคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการบริการดูแลหลังการขาย 360 องศา อาทิ การบริการแจ้งซ่อม ออนไลน์ 24 ชั่วโมง จาก SENA We care การบริหารงานนิติบุคคล ด้วยมืออาชีพจาก Victory (Property Management) การรับฝากขาย-ฝากเช่า จาก Living Agent นอกจากนี้ยังมี Mobile App ชื่อ SENA 360⁰ Service ที่รวบรวมทุกช่องทางในการติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัทและลูกค้า เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอีกด้วย ส่วนคำว่า “หัวใจ” คือการบริการด้วยใจของพนักงาน เอาใจใส่ดูแลลูกค้าทุกคนเสมือนเอาใจเขามาใส่ใจเรา รับฟัง แก้ไขปัญหาให้เสมือนปัญหาของตนเอง เพื่อก่อให้เกิดความมั่นใจและไว้วางใจในที่สุด”

ผศ.ดร.เกษรา กล่าวต่อว่าปีนี้จะเป็นปีทองสำหรับ “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” โดยจะมาจากธุรกิจทั้งในส่วนของอสังหาริมทรัพย์และพลังงานทดแทนที่มีความโดดเด่น สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัทและผู้ถือหุ้น พร้อมกันนี้ได้วางเป้าหมายผลประกอบการเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยรายได้ส่วนใหญ่ยังคงมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งมั่นใจว่าธุรกิจอสังหาฯ ยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ทั้งในส่วนของมาตรการลดหย่อนภาษี และโครงการบ้านประชารัฐ ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากแนวโน้มดอกเบี้ยยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น

ในปี 2559 “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” เตรียมเปิด 9 โครงการใหม่ โครงการแนวราบได้แก่ เสนาวิลล์ บรมราชชนนี สาย 5 ,เสนาพาร์ควิลล์ รามอินทรา-วงแหวน, เสนาพาร์ค ทาวน์ รามอินทรา – วงแหวน ,PCC New Residence โครงการคอนโดมิเนียม ได้แก่ The Niche Mono บางนา เฟส 3 ,The Niche ID พระราม 2 เฟส 2 ,The Niche MONO สุขุมวิท 50 ,The Kith Plus สุขุมวิท 113 เฟส 1 ,The Kith Lite บางกะดี เฟส 2 มูลค่าโครงการรวม 5,390 ล้านบาท ทั้งนี้ ไตรมาส 1/2559 ได้เปิดตัว 2 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการเสนาพาร์ค วิลล์ รามอินทรา-วงแหวน และโครงการเสนาวิลล์ บรมราชชนนี-สาย 5 ทั้งสองโครงการจะทำเป็นหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ ด้วยแนวคิด “Solar Smart Village” โดยออกแบบการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งจากในตัวบ้านแต่ละหลัง และผลิตไฟฟ้านำมาใช้ในพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้าน ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าส่วนกลางได้ประมาณ 30-40% ซึ่งถือเป็นโครงการนำร่องในการสร้างชุมชนรักษ์โลก โดยเริ่มต้นที่โครงการของเสนาฯ ซึ่งบริการครบวงจรเกิดขึ้นภายใต้การบริหารงานของบริษัทเสนา โซลาร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด ที่ดูแลตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ ติดตั้ง และให้บริการดูแลหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ เชื่อมั่นในการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป

สำหรับธุรกิจพลังงานทดแทนซึ่งเป็นการขยายการลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจอสังหาฯ ของ SENA โดยผ่าน “บริษัท เสนา โซลาร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด” ในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม กำลังการผลิต 46.5 เมกะวัตต์ ในจังหวัดสระบุรี และนครปฐม จะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 เป็นต้นไป โดยจะรับรู้เข้ามาในรูปของเงินปันผลประมาณ 40-50 ล้านบาทต่อปี ส่วนธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปตั้งเป้าภายใน 3 ปีข้างหน้า จะติดตั้งแผงโซลาร์และมีกำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์