SENA ดันลูกบ้านยื่นโซลาร์ภาคประชาชน

SENA เตรียมยื่นขอสิทธิ์ให้กับลูกบ้านเข้าร่วมโครงการ “โซลาร์ภาคประชาชน” หลังกกพ.เปิดรับซื้อไฟส่วนเกินเข้าระบบ 100 เมกะวัตต์ สัญญา 10 ปี ราคา 1.68 บาทต่อหน่วยทำผู้บริโภคตื่นตัว รับประโยชน์คุ้ม 2 ต่อ ทั้งประหยัด และมีรายได้จากการขายไฟฟ้า เล็งขยายธุรกิจโซลาร์สู่ภาคเอกชน ในรูปแบบ Private PPA ตอบสนองกลุ่มลูกค้าเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟ หวังลดต้นทุนการใช้พลังงานในการดำเนินธุรกิจ
 

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้ดำเนินโครงการหมู่บ้านใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) เต็มรูปแบบรายแรกของไทย เปิดเผยว่า ทางเสนา ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านที่อยู่อาศัย(โซลาร์รูฟท็อป) ทุกหลังในทุกโครงการโดยเริ่มตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน ทำให้ลูกบ้านประหยัดค่าไฟฟ้าแล้วยังมีโอกาสที่จะนำส่วนเกินที่เหลือจากการใช้ไฟขายเข้าระบบผ่านโครงการโซลาร์ภาคประชาชน

ซึ่งล่าสุดคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ร่วมกับ 2 การไฟฟ้า คือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) ได้เปิดให้ยื่นสมัครเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค.เป็นต้นไป โดยบริษัทได้เตรียมพร้อมที่จะยื่นขอสิทธิ์ให้กับลูกบ้าน รวมทั้งหมด 6 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ เสนาพาร์ค แกรนด์ รามอินทรา ,โครงการเสนาพาร์ควิลล์ รามอินทรา – วงแหวน ,โครงการเสนาวิลล์ บรมราชชนนี สาย 5 ,โครงการเสนาแกรนด์ โฮม รังสิต ติวานนท์ โครงการเสนาช๊อปเฮ้าส์ พหลโยธิน คูคต และโครงการ เสนาช็อปเฮ้าส์ บางแค เฟส 1 และ เฟส 2 ซึ่งมั่นใจว่าจะมีจำนวนรายที่ยื่นสูงสุดกว่า 164 ราย คิดเป็นจำนวน 394.40 กิโลวัตต์

"เสนาจะเป็นผู้ยื่นให้กับลูกบ้านแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกบ้าน ซึ่งเสนาถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ เจ้าเดียวที่ทำหมู่บ้านที่ติดโซลาร์ทุกหลังภายใต้การดำเนินงานติดตั้งโดยบริษัท เสนา โซลาร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัดที่มีการบริการแบบครบวงจร ปัจจุบันมีการติดตั้งให้กับบ้านทุกหลัง รวม 400 หลัง ประมาณ 1,000 กิโลวัตต์ ทางเราทำมานานตั้งแต่โครงการโซลาร์รูฟเสรีนำร่อง ครั้งนั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการติดตั้งแต่ยังไม่รับซื้อไฟฟ้าเข้าระบบจนมาวันนี้มีโครงการโซลาร์ภาคประชาชนที่รัฐกำหนดไว้ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า(พีดีพี 2018) ที่จะเปิดรับซื้อ10 ปีแรก (ปี2562- 2571) ปีละ 100 เมกะวัตต์ โดยรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินเข้าระบบ 1.68 บาทต่อหน่วยจะเข้ามามีส่วนสำคัญต่อการกระตุ้นให้เกิดความคุ้มค่าการติดตั้งมากขึ้น"

ผศ.ดร.เกษรากล่าว ทั้งนี้การผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาที่อยู่อาศัยหรือโซลาร์รูฟท็อปนั้น แม้ว่ารัฐจะไม่ซื้อไฟฟ้าเข้าระบบปัจจุบันก็เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคสนใจมากขึ้นต่อเนื่องอยู่แล้วโดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้คือ 1) คนสูงวัยและเด็ก, 2) คนที่ทำงานอิสระหรือฟรีแลนซ์, 3)พนักงานประจำ (หยุดวันเสาร์ – อาทิตย์) แต่เมื่อพิจาณาดูแล้ว กลุ่มที่มีความคุ้มค่าในการใช้โซลาร์จะเป็นกลุ่มที่ 1 และ 2 ทำให้ตอบโจทย์ของการติดตั้งแผงโซลาร์ที่สามารถผลิตไฟฟ้าใช้แล้วคุ้มค่าเพราะแสงอาทิตย์มีช่วงกลางวันทำให้เกิดการประหยัดค่าไฟ ส่วนกลุ่มที่ 3 จะเป็นกลุ่มที่คุ้มค่าในการขายไฟฟ้าให้กับรัฐ เนื่องจากกลุ่มนี้ไม่ได้ใช้ไฟช่วงกลางวัน (วันธรรมดา) แต่เมื่อมีโซลาร์ภาคประชาชนที่รับซื้อไฟส่วนเกินเข้าระบบกลุ่มนี้จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ขณะเดียวกันโซลาร์ภาคประชาชน ยังมีส่วนสำคัญที่เข้ามาช่วงรอยต่อที่ระบบกักเก็บพลังงานหรือแบตเตอรี่(Energy Storage System) ที่เป็นเทคโนโลยีที่อยู่ในขั้นทดลองเรื่องของคุณภาพ และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ดังนั้นโครงการนี้เข้ามา ทำให้เกิดความคุ้มค่ากับมากกว่าการผลิตไฟฟ้าแล้วไม่ได้ใช้

ซึ่งทางเสนาฯได้ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจด้านพลังงาน อยู่ระหว่างการศึกษาและแสวงหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อให้บริการกับลูกค้าให้ได้รับประโยชน์มากยิ่งขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังได้เตรียมรุกตลาดพลังงานมากขึ้น โดยบริษัทเสนาโซลาร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด ได้มีการวางแผนและตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ไว้ 600 ล้านบาท รวมกำลังการติดตั้ง 24 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเข้าไปขยายตลาดในกลุ่มผู้ประกอบการ อาทิ โรงงาน คลังสินค้า เป็นต้น รวมจำนวน 13 แห่ง โดยเฉพาะการเข้าไปทำตลาดในรูปแบบของการจำหน่ายไฟฟ้าตรงให้กับผู้ประกอบการ หรือ Private PPA เป็นการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา และจำหน่ายไฟฟ้าในช่วงเวลากลางวัน ให้กับผู้ประกอบการโดยตรง เนื่องจากช่วงเวลากลางวันเป็นช่วงเวลา การจำหน่ายไฟฟ้าที่มีราคาสูง (ON PEAK) ทำให้ต้นทุนการใช้พลังงานลดต่ำลง เนื่องจากค่าไฟฟ้าที่ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์จะมีราคาที่ต่ำกว่า ราคาไฟฟ้าที่ซื้อจากระบบของการไฟฟ้า