‘เสนา’ Q1 กำไรพุ่ง 31% ที่ 119 ล้าน สวนกระแสภาพรวมยอดโอนต่ำ เดินหน้าลุยธุรกิจตามแผน

"เสนาดีเวลลอปเม้นท์” ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2567 กำไรสุทธิ 119 ล้านบาท โตขึ้น 31% จากรายได้รวม 741 ล้านบาท ตุน Backlog รวม 5,164 ล้านบาท พร้อมรับรู้รายได้ปีนี้ 3,749 ล้านบาท ตอกย้ำแผนขยายธุรกิจตามเป้า เดินหน้าลุยตามแผนเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง ตอบรับตลาด 1 - 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่โตสวนกระแส ขานรับดีมานด์ New Gen ด้วยนวัตกรรมทางการเงิน เงินสดใจดี” – “LivNex” แก้ Pain Point สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดอสังหา พร้อมรุกธุรกิจสีเขียว เตรียมเปิดโชว์รูมรถยนต์ไฟฟ้าและศูนย์บริการครบวงจร หลังยอดขายแนวโน้มดีต่อเนื่อง ย้ำจุดยืนพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนเต็มรูปแบบ  


นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในฐานะ Developer รายแรกพัฒนาหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เป็นผู้นำด้านบ้านประหยัดพลังงาน และ Condo Low Carbon เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2567 เสนามีรายได้รวมจากกลุ่มบริษัทเสนาฯ และบริษัทย่อย อยู่ที่ 741 ล้านบาท มีผลกำไรสุทธิ 119 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว ได้รับผลกระทบและปัญหาจากปัจจัยต่างๆ  โดยกำไรสุทธิใน Q1 หรือไตรมาสแรกนี้เพิ่มขึ้นถึง 31% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ความสามารถในการทำอัตรากำไรสุทธิก็เพิ่มขึ้นถึง 4.6%


โดยผลการเติบโตมาจากรายได้หลักของบริษัท ประกอบด้วย 4 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มแรก ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าหลักของเสนา คือบ้านและคอนโดในระดับราคา 1 – 3 ล้านบาท ที่มีการเติบโตสวนกระแสตลาด ส่งผลถึงยอดขายที่ดีในกลุ่มนี้ ซึ่งทางเสนาพร้อมขยายโครงการตามแผนเพื่อรองรับตลาด ด้าน Backlog หรือยอดขายรอรับรู้รายได้ มีมูลค่าประมาณ 5,164 ล้านบาท พร้อมทยอยรับรู้รายได้ปีนี้ 3,749 ล้านบาท ขณะที่สินค้าคงเหลือขายมีอีก 54,545 ล้านบาท พร้อมขายแล้วโอนรับรู้รายได้ทันที 14,427 ล้านบาท

สำหรับกลุ่มธุรกิจบริหารโครงการและบริการอื่นๆ มีรายได้รวม เพิ่มขึ้น 20.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่กลุ่มธุรกิจด้านพลังงานสะอาดและกลุ่มธุรกิจใหม่ อย่างธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ มีรายได้ในทิศทางบวกและเป็นไปตามแผน อย่างไรก็ตามในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผันผวนนี้ นอกจากรักษาระดับการสร้างรายได้ที่ดีแล้ว เสนายังคงเพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารจัดการต้นทุนควบคู่กันไปด้วย โดยใน ไตรมาสที่ผ่านมามีต้นทุนลดลงถึง 25% จึงทำให้ผลการดำเนินงานกลุ่มบริษัทเสนาฯ ในไตรมาสแรกเป็นไปตามเป้าหมาย 


นางสาวอธิกา กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกหนึ่งสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจของเสนาตามนโยบาย Sustainable Financial คือการบริหารความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทให้ดีอยู่เสมอ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Debt to Equity Ratio) ต่ำมากในกลุ่มบริษัทอสังหาฯ ด้วยกันที่เพียง 1.18 เท่านั้น และยังสะท้อนประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดี จากการที่เสนาเป็นบริษัทที่จ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ล่าสุดกำหนดจ่ายเงินปันผลจากการดำเนินงานปี 2566 วันที่ 24 พฤษภาคมนี้ ในอัตราหุ้นละ 0.234214 บาท  


นอกจากนี้ในไตรมาสแรก อีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญคือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ คือ “เงินสดใจดี” และ “LivNex” เช่าออมบ้าน ที่นับว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ครั้งแรกของวงการอสังหาฯ โดยผลิตภัณฑ์ทางการเงินแบบใหม่นี้จะช่วยแก้ปัญหาลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านให้สามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น ตามความมุ่งมั่นที่จะทำให้ทุกคนมีโอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยคุณภาพ 


เสนา มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจและขับเคลื่อนองค์กรตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยแผนการดำเนินงานช่วงไตรมาส 2 ยังคงจะขยายธุรกิจพลังงานสะอาด โดย บริษัท เสนา กรีน เอนเนอร์ยี่ จำกัด ถือเป็นธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเปิดตัวโชว์รูมมาตรฐาน ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ NETA by SENA GREEN AUTO อย่างเป็นทางการ และยังขยายธุรกิจ EV Charger สู่การเป็นตัวแทนจำหน่ายครบวงจร ขณะที่บริษัทในเครืออย่าง บมจ. เซ็น เอกซ์ หรือ Sen X ก็มีผลการดำเนินงานที่ดีเช่นกัน และยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ภาพรวมของเสนาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจด้านเซอร์วิส และบริการต่างๆ อาทิ บริการนิติบุคคลครบวงจร ( ELITE Service), บริหารจัดการโครงการ, บริการหลังการขายและงานซ่อมบำรุง, ธุรกิจนายหน้าอสังหาฯ, ธุรกิจด้านไอทีและเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย ส่วนโครงการบ้านใน Luxury Segment มีความคืบหน้าตามแผนงานที่พร้อมเปิดตัวช่วงปลายปีนี้ 


ทั้งนี้ภาพรวมของเสนาปี 2567 ยังคงเดินหน้าตามแผน เปิดตัว 17 โครงการ แบ่งเป็น แนวราบ 5 โครงการ และคอนโดมิเนียม 12 โครงการ มูลค่ารวม 28,000 ล้านบาท